Categories
รวมบทความ

5 อันดับ ภัยร้ายจาก โทรศัพท์ที่ต้องรู้

โทรศัพท์
5 อันดับ ภัยร้ายจากโทรศัพท์ที่ต้องรู้

ปัจจุบัน โทรศัพท์ มือถือ ของแต่ละค่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถใช้ทำงานแทนคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุผลว่าพกพาง่าย สะดวก แถมยังสามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ จนได้ชื่อว่าเป็นสิ่งของจำเป็น หรืออาจจะบอกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ก็ว่าได้ ดังนั้นในแต่ละวันหลายคนต้องเพ่งที่หน้าจอวันละหลายชั่วโมง เพื่อทำภารกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซื้อ-ขาย หรือทำงานด้านเอกสาร 

โทรศัพท์ เครื่องเล็กแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว

โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน ที่อยู่ในมือของเรา ถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับชีวิตประจำวันของคุณได้มากขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าตัวช่วยที่อยู่ในมือของคุณ สามารถทำร้ายคุณผ่อนส่งต่อเนื่องในทุก ๆ วัน ซึ่งบางคนกว่ารู้ตัวว่าได้เจอความร้ายกาจของ โทรศัพท์มือถือเข้าไป ก็เกือบจะสายไปแล้วด้วยซ้ำ 

อันตรายจาก โทรศัพท์ มีอะไรบ้าง

สำหรับอันตรายจาก โทรศัพท์ มือถือ มีหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการจ้องหน้าจอนานติดต่อกันหลายชั่วโมง และอาจจะมีเชื้อโรคที่แฝงหรือเกาะอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของเครื่อง ส่งผลให้ป่วยได้ง่าย ยิ่งบางคนชอบพกเข้าห้องน้ำด้วย ยิ่งเพิ่มความอันตรายให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว 

1.  ปัญหาต่อสายตา

โทรศัพท์
ปัญหาต่อสายตา

ในปัจจุบันหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและสายตา มักออกมาย้ำเตือนเสมอว่า การจ้องหน้าจอมือถือนาน ๆ จะส่งผลเสียต่อสายตาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเจออาการดังกล่าวมากกว่าผู้ใหญ่ บางรายรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด เพื่อเปลี่ยนกระจกตา หรือหากรักษาไม่ทันเวลา ถึงขั้นตาบอดตลอดชีวิต เนื่องจากหน้าจอมือถือจะมีแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นคลื่นความถี่แสงพลังงานสูง ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดตา ตาพร่า ตาแห้ง จนน้ำตาไหลตลอดเวลา ซึ่งหากใช้เวลาจ้องนานติดต่อกันหลายชั่วโมง จะทำให้สุดท้ายเกิดอาการจอประสาตาตาย ซึ่งหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือไม่ทันเวลา โอกาสจะตาบอดตลอดชีวิตมีสูงมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยทางสายตา เพราะการใช้โทรศัพท์นานสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

2.  อาการนิ้วล็อค 

โทรศัพท์
อาการนิ้วล็อค

อีกหนึ่งปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ เพราะมือถือยังคงใช้กันทุกวันและต่อเนื่อง แต่การใช้มือถือนาน ๆ ส่งผลให้มีอาการปวดตามนิ้วและข้อต่าง ๆ บริเวณมือ และบางคนมีอาการชาที่นิ้ว และมือ ซึ่งเกิดจากการเกร็งในการพิมพ์ เพื่อตอบแชท หรืออาจจะเกิดจากการทำงานผ่านมือถือเป็นเวลานาน โดยบางคนรุนแรงถึงเส้นเอ็น โดยหากมีอาการรุนแรงอย่างหนัก อาจจะต้องถึงขั้นผ่าตัด เพื่อรักษาอาการที่เกิดขึ้น

3.  มีอาการปวดเมื่อยที่ คอ บ่า ไหล่ ต่อเนื่อง

โทรศัพท์
มีอาการปวดเมื่อยที่ คอ บ่า ไหล่ ต่อเนื่อง

เนื่องจากการใช้มือถือจะต้องก้มอย่างต่อเนื่อง หรือถึงแม้บางคนจะเปลี่ยนอิริยาบทต่าง ๆ แต่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น แต่สุดท้าย คอ บ่า ไหล่ ยังได้รับผลกระทบจากการเกร็ง จากการพิมพ์ตอบแชทต่าง ๆ ในมือถือ หรืออาจจะก้มดูหน้าจอนาน นอกจากนั้นยังส่งผลให้เกิดอาการหลังค่อม จนทำให้เสียบุคลิกไปที่สุด ในกรณีที่รุนแรงยังทำให้เกิดอาการปวดศีรษะบ่อย เนื่องจากเมื่อเกิดอาการเกร็งต่อเนื่อง จะส่งผลให้ต่อกล้ามเนื้อบิด จนการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงศีรษะมีปัญหา 

4.  โรคทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย 

โทรศัพท์
โรคทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบมาก แต่ยังถูกจัดว่าเป็นโรคที่มาจากการใช้มือถือนานเกินไป ยิ่งบางคนที่ดูซีรีย์ หรือฟังเพลง รวมถึงทำงานนาน ๆ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่า อยู่ในอาการ “เพลิน” สิ่งที่จะตามมาคือทานอาหารไม่เป็นเวลา อีกทั้งหลายคนยังพยายามกลั้นการเข้าห้องน้้ำทั้งหนักและเบา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการการทำงานของทางเดินอาหารและขับถ่าย 

5.  มีโอกาสป่วยกระเสาะกระแสะได้ง่าย 

โทรศัพท์
มีโอกาสป่วยกระเสาะกระแสะได้ง่าย

อีกหนึ่งเหตุผลว่าห้ามนำมือถือเข้าห้องน้ำ หรือไปในสถานที่มีแต่เชื้อโรค เพราะมือถือของเราคือแหล่งรวมเชื้อโรคได้ง่าย โดยในแต่ละวันเราไม่รู้เลยว่าไปหยิบจับอะไรมาก่อนบ้าง ดังนั้นเราอาจจะได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเชื้อโรคบางตัวทำให้เรามีโอกาสป่วยเป็นหวัดหรือโรคทางเดินอาหาร รวมถึงโรคต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวสูงมาก

การใช้ โทรศัพท์ มือถือ นอกจากจะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จนทำให้การใช้ชีวิตประจำของแต่ละคนง่ายมากขึ้น แต่อย่าลืมว่ามือถือเครื่องเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือของคุณกำลังทำร้ายตัวคุณเองอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากใช้ไม่ระวังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ซึ่งก็คือ 5 โรคที่คุณหมอพยายามออกมาเตือนนภายหลังสูงมาก 

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ สายมู ที่มีผลต่อคนไทยมากที่สุด

สายมู
5 อันดับ สายมู ที่มีผลต่อคนไทยมากที่สุด

ถ้าพูดถึง สายมู สำหรับคนไทยแล้วเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนไทยมีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ของเครื่องรางของขลัง ไสยศาสตร์ เรื่องลี้ลับ การบูชา การเสริมดวงชะตา การดูฤกษ์ยาม รวมถึงการทำนายในพระราชพิธีสำคัญ ๆ และยังนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย 

การเป็นสายมูที่พึ่งทางใจคนไทย และอีกหลายคน

ทั้งนี้การนำพาตัวเองเข้าสู่ สายมู หรือ ความเชื่อและความศรัทธา ถือเป็นที่พึ่งในการสร้างแรง และกำลังใจ เพื่อเยียวยาชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าการเสริมดวงด้านต่าง ๆ การขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบูชาสิ่งมงคล การเลือกใช้เบอร์มงคล ทั้งนี้การพึ่งพาความเชื่อเหล่านี้นำไปสู่ ธุรกิจสายมู ที่ให้เม็ดเงินมหาศาลเลยทีเดียว หากแต่ความเชื่อ และความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งของมงคลต่าง ๆ นั้นต้องมีความพอดี ส่วนรูปแบบของสายมูยอดนิยมในปัจจุบันมีดังนี้ 

1.  พยากรณ์ โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี 

สายมู
พยากรณ์ โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี

เป็นสิ่งที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่การดูดวงประเทศ ดูดวงของคนทั่วไปในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงคำทำนายของพระโคในวันพืชมงคลที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี 

2.  พระเครื่องวัตถุมงคล 

สายมู
พระเครื่องวัตถุมงคล

การบูชาเครื่องราง เช่น ตะกรุด , ต่อเงินต่อทอง , การขอพรไอ้ไข่ที่วัดเจดีย์ไอ้ไข่ หรือการทำพิธีตามความเชื่อช่วงเทศกาลต่าง ๆ การสักยันต์ , ปี่เซียะ วัตถุมงคลเสริมดวงการเงิน , เต่ามังกร เป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพดี อายุยืน ความสำเร็จอย่างมั่นคง , หินสีนำโชค กับความเชื่อที่ว่าหินแต่ละสีจะมีความหมาย และการเสริมดวงที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไคยาไนท์ ช่วยด้านสติปัญญา , มูนสโตน ช่วยด้านความรัก

3.  สีมงคล 

สายมู
สีมงคล

ซึ่งสีมงคลนี้สามารถนำมาต่อยอด และสร้างธุรกิจได้มากมาย เช่น สีเสื้อมงคลประจำวันเกิด กระเป๋าเงินเรียกทรัพย์ตามสีวันเกิด และสีลิปสติกเสริมดวง

4.  ตัวเลขมงคล 

สายมู
ตัวเลขมงคล

ตัวเลขนำโชค จะนำสิ่งดีๆมาให้ชีวิต เช่น บ้านเลขที่ ทะเบียนรถ ที่นิยมสุด ๆ ก็คงไม่พ้น เบอร์มือถือ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิต และการติดต่องาน

5.  เรื่องเหนือธรรมชาติ

สายมู
เรื่องเหนือธรรมชาติ

สิ่งลี้ลับจากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตามแต่ละสถานที่ และความเชื่อของแต่ละบุคคล และการนำเสนอเรื่องราวลี้ลับต่าง ๆ ของรายการทีวี ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นจำนวนมากอีกด้วย

ความเชื่อ 5 อันดับ สายมู ที่มีผลต่อคนไทย

สายมู ของคนไทยมีหลากหลายมาก และการที่คนไทยนิยมหันหน้าพึ่งพาความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และโชคลาง เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจในช่วงที่รู้สึกหดหู่ ไม่สบายใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง เพื่อทำให้เกิดกำลังใจ พลังแรงกายในการทำสิ่งต่าง ๆ จากความเชื่อที่ว่ามีสิ่งที่คุ้มครองเราอยู่นั่นเอง และต้องหาวิธีจัดการให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ “มูเตลู” จึงเป็นคำฮิตสำหรับคนไทย ซึ่งใช้เวลาที่พูดถึงความเชื่อในเรื่องการเสริมดวง เครื่องรางของขลัง เป็นต้น ทั้งนี้หากจะนำตัวเองเดินเข้าสู่เส้นทางสายมูเตลู เพื่อความสบายใจ และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ก็อย่าลืมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเปิดรับสิ่งดี ๆ ที่ได้จากการมูเตลูด้วยก็จะดี รวมไปถึงการคิดดี พูดดี และทำดี เท่านี้ก็สามารถทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี และมีความสุขขึ้นแล้ว

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ ธนาคาร ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ธนาคาร
5 อันดับ ธนาคาร ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ถ้าจะพูดถึง ธนาคาร ชั้นนำของโลกแล้วละก็จีนถือเป็นอีกประเทศที่มี สถาบันการเงิน ที่มูลค่าสินทรัพย์สูงติดระดับโลกอยู่หลายแห่ง ทั้งนี้การจัดอันดับของสถาบันการเงินนั้น เป็นผลดีต่อนักลงทุนอย่างมาก เพราะทำให้รู้ว่าแหล่งการเงินที่มีขนาดใหญ่แต่ละแห่งอยู่ที่ไหนบ้าง และประเทศไหนเป็นเจ้าของสถาบันการเงินนั้น ๆ บ้าง โดยมีผลดีตรงความปลอดภัย และความมั่นคงในการลงทุน รวมถึงการเลือกใช้บริการ

ธนาคารกับความยิ่งใหญ่ที่สุดยอด

จากผลสำรวจมูลค่าทรัพย์ของ ธนาคาร ทั่วโลก และการจัดอันดับ Top 5 ของสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด สถาบันการเงินของประเทศจีนยังครองความยิ่งใหญ่อย่างเหนือชั้น และตลอดกาลจริง ๆ เพราะในปัจจุบันมีหลายแห่งของประเทศจีน ยึดตำแหน่งระดับต้น ๆ ของโลก และเป็นยัง สถาบันการเงินที่มีมูลค่าสินทรัพย์สูงที่สุด อีกด้วย โดย 5 สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกมี ดังนี้

1. INDUSTRIAL AND COMMERCIAL BANK OF CHINA 

ธนาคาร
INDUSTRIAL AND COMMERCIAL BANK OF CHINA

ธนาคาร เพื่อการอุตสาหกรรม และการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1984 และเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เน้นภาคอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่เสนอเงินกู้ในด้านการผลิต การขนส่ง พลังงาน และการค้าปลีก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์รวมสูงถึง 4.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

2. CHINA CONSTRUCTION BANK CORPORATION

ธนาคาร
CHINA CONSTRUCTION BANK CORPORATION

ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีน และในเวลานี้ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วย ก่อตั้งในปี ค.ศ.1954 เน้นการดำเนินงานในเอเชีย และในฮ่องกง ส่วนสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มูลค่าสินทรัพย์รวม 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

3. ARGRICULTRUL BANK OF CHINA 

ธนาคาร
ARGRICULTRUL BANK OF CHINA

สถาบันการเงินเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีน มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1951 โดย เหมา เจ๋อตง สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มูลค่าสินทรัพย์รวม 3.65 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

4. BANK OF CHINA

ธนาคาร
BANK OF CHINA

สถาบันการเงินเก่าแก่ที่สุดของจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1912 ให้บริการด้านพาณิชย์ การจัดการสินทรัพย์ วาณิชธนกิจ การประกันภัย และบริการทางด้านการเงินอื่น ๆ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มูลค่าสินทรัพย์รวม 3.62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

5. MITSUBISHI UFJ FINANCIAL GROUP (MITSUBISHI)

ธนาคาร
MITSUBISHI UFJ FINANCIAL GROUP (MITSUBISHI)

MITSUBISHI เป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่ให้บริการทางด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เน้นให้บริการทางการเงิน และการลงทุนที่หลากหลาย รวมทั้งพาณิชย์ การเงินระหว่างประเทศ และบริการจัดการสินทรัพย์ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มูลค่าสินทรัพย์รวม 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

แต่ละแห่งถือว่าเป็นสถาบันทางการเงินสำคัญทางเศรษฐกิจโลก

ธนาคาร BANK เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการหลากหลายรูปแบบ เช่น ด้านธุรกรรมเชิงพาณิชย์ การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การซื้อขายหุ้น และอื่น ๆ การจัดอันดับของสถาบันการเงินทั่วโลก พิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจของเหล่านักลงทุนเช่นกัน ที่สำคัญธนาคารของจีนยังคงเป็นประเทศในแถบเอเชียที่ครองความเป็นที่ 1 มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งปัจจุบันหลายแห่งยังสามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของโลกได้อย่างง่ายดาย โดยในเวลานี้การชะลอตัวทางด้านการเงิน เศรษฐกิจอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อสถาบันการเงินมากนัก แต่การแสดงออกถึงความมั่นคงทางการเงินต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อลูกค้าเพิ่มมากขึ้นได้อย่างง่ายดาย

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ ค่ายรถใช้เป็นรถแข่ง ชิงตำแหน่งรุ่นใหญ่จ้าวสนามทางเรียบ

รถแข่ง
5 อันดับ ค่ายรถใช้เป็นรถแข่ง ชิงตำแหน่งรุ่นใหญ่จ้าวสนามทางเรียบ

รถแข่ง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดคนดูในสนามแข่งรถทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสนาม กรังซ์ปรี รวมถึงสนามทางเรียบ ซึ่งนอกจากนักแข่งจะเป็นตัวดึงดูดผู้ชมเข้าสนามแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่สามารถดึงดูดใจแฟน ๆ ชื่นชอบความเร็วคือ รถสวย ๆ ที่ลงสนามแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันมีหลายค่ายที่เข้าร่วมแข่งขัน ประลองความเร็ว เพื่อชิงแชมป์ตำแหน่งจ้าวสนาม

รถที่ใช้แข่งชิงจ้าวสนามทางเรียบหลายค่ายคือพลังดูดความน่าสนใจของรายการแข่งขัน 

รถแข่ง จากหลาย ๆ ค่ายในปัจจุบันร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรายการแข่งขัน โดยแต่ละค่ายจะจัดการโมดิฟายรถแข่งด้วยตัวเอง เพื่อดึงสมรรถนะของรถออกมาให้หมด หรืออีกนัยหนึ่งหากชนะในสนามแข่งขัน สามารถเพิ่มยอดขายได้ในอนาคตระยะยาว ซึ่งงานนี้เรียกว่าค่ายรถมองการณ์ไกลพอสมควร ดังนั้นการโมดิฟายรถก่อนลงสนามถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ ส่วนในสนามแข่งขันต้องยกให้เป็นหน้าที่ของนักแข่งว่าสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถได้หรือไม่ 

สำหรับสนามทางเรียบมีรถลงแข่งหลายรุ่น แต่สำหรับรุ่นใหญ่ต้องมาจาก 5 ค่ายดังนี้

สำหรับค่ายรถยนต์ที่ใช้เป็นรถแข่งลุยศึกสนามทางเรียบระดับ “Super GT 500” ใช้วัดความเร็วและสมรรถนะของรถมีทั้งหมด 5 ค่าย 

1.  นิสสัน (Nissan GT) 

รถแข่ง
นิสสัน (Nissan GT)

ค่ายรถญี่ปุ่นที่สามารถเจาะสนามแข่งขันได้ทุกรูปแบบ และถือว่าค่ายนี้เตรียมตัวมาดีสุด ๆ เพราะสามารถเทียบรัศมีของรถยุโรป หรือค่ายดังชั้นนำหลายแห่งไม่ยาก ซึ่งจุดเด่นของค่ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถจากสัญชาติญี่ปุ่นธรรมดาทั่วไป เพราะเป็นค่ายรถที่ลงสนามทุกรายการ ทำให้สามารถเก็บประสบการณ์ จุดแข็งและจุดอ่อนของสนามต่าง ๆ มาปรับใช้ จนสามารถคลอดรถที่ได้ชื่อว่า “นางฟ้าซาตาน” แห่งสนามไปโดยปริยาย

2.  ออดี้ (Audi)

รถแข่ง
ออดี้ (Audi)

ค่ายรถจากเมืองเบียร์ ซึ่งติดโผอยู่ในกลุ่มค่ายรถที่ได้รับความนิยมใช้ประลองความเร็ว เพื่อแย่งชิงตำแหน่งจรวดทางเรียบร่วมกับทีมค่าย ๆ อื่น ถึงแม้ปกติแล้วค่ายนี้จะผลิตรถใช้งานทั่ว ๆ ไปเป็นหลัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลงสนามแข่งขัน ออดี้ พร้อมรบเต็มที่เช่นเดียวกัน ซึ่งมีโอกาสคว้าแชมป์และรองแชมป์รายการต่าง ๆ มาแล้วหลายรายการ และยิ่งมาพร้อมกับเครื่อง 8 สูบ ยิ่งทำให้ค่ายนี้หล่อ ดุ ขึ้นทันตาเห็น

3.  เบนซ์ (Benz)

รถแข่ง
เบนซ์ (Benz)

ค่ายรถจากเยอรมัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะมาจากประเทศเดียวกับ ออดี้ แต่ในสนามแข่งขันไม่มีคำว่าเป็นมิตรแน่นอน เพราะค่ายนี้พร้อมโมดิฟายรถเต็มที่จากช่างผู้มีประสบการณ์ เพื่อลงสนามแข่งขันชิงความเป็นหนึ่ง นอกจากนั้นหลาย ๆ รุ่นของ เบนซ์ ถือว่าประสบความสำเร็จ และสร้างยอดขายให้กับสาวกได้อย่างต่อเนื่อง

4.  บีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW)

รถแข่ง
บีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW)

ถึงแม้ปกติ BMW คือรถระดับไฮคลาสบนท้องถนนตามปกติ และรูปลักษณ์ได้ชื่อว่ารถบ้าน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่แปลงร่างลงสนามแข่งขันรายการ GT 500 รับประกันได้เลยว่า พวกเขาไม่เคยทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง จากทีมช่างเต็มไปด้วยประสบการณ์หลายสมัย สามารถเพิ่มสมรรถนะรถบ้านให้กลายเป็นปีศาจในทางเรียบได้อย่างรวดเร็ว เรียกคะแนนความน่าสนใจจากแฟน ๆ รายการแข่งขันระดับสูงสุดของรายการแข่งขันทางเรียบไม่ต่างจาก 2 ค่าย สัญชาติเดียวกันหรือค่ายรถชื่อจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่างนิสสัน 

5.  ฮอนด้า (Honda)

รถแข่ง
ฮอนด้า (Honda)

อีกหนึ่งค่ายจากญี่ปุ่นซึ่งมาพร้อมกับกำลังแรงม้าที่ไม่ด้อยกว่าคู่แข่งทั้ง 4 ค่าย อีกทั้งสีสันสะดุดตา รวมถึงทีมช่างไม่ได้เป็นรองคู่แข่งจากยุโรป ซึ่งได้ชื่อว่ามีสมรรถนะยอดเยี่ยม หรือแม้แต่ค่ายรถร่วมชาติอย่างนิสสันแม้แต่น้อย ดังนั้น ทันทีที่ลงสนามแข่งขัน จึงสามารถเรียกความสนใจจากคอความเร็วได้ไม่ยาก ส่วนความสำเร็จพวกเขาไม่ได้น้อยหน้าค่ายอื่นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้สำหรับมนต์เสน่ห์ที่ทำให้การแข่งขันรถ คือ รถแข่ง ซึ่งแต่ละค่ายรถจะจัดเต็ม จัดหนัก เพื่อชัยชนะและครองตำแหน่งที่ 1 ของรายการรถยนต์ทางเรียบ นอกจากนั้นทางด้านนักแข่งที่อยู่หลังพวงมาลัย และทีมงานที่ดูแลรถระหว่างแข่งขัน ถือว่ามีความสำคัญต่อรายการแข่งขันเช่นเดียวกัน โดยความสนุกของรายการนี้คือ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม ซึ่งบ่งบอกถึงพลังแรงม้าของการแข่งขันระยะทาง 365 กิโลเมตร จำนวน 66 รอบ 

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ เต็นท์ยอดนิยมของนักตั้งแคมป์

เต็นท์
5 อันดับ เต็นท์ยอดนิยมของนักตั้งแคมป์

เต็นท์ คืออุปกรณ์จำเป็นในการพักแรม หรือแคมป์ปิ้งในป่า หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งมีหลายประเภท หลายราคา โดยในปัจจุบันถือว่าเป็นสินค้ากำลังมาแรง เพราะการท่องเที่ยวเชิงค้างแรมเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันเต็นท์ยังเป็นสินค้าที่ซื้อง่าย เพราะมีขายทั้งหน้าร้าน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ หรือตามช่องทางร้านค้าออนไลน์ ซึ่งจะมีให้เลือกแบบ และราคาได้มากกว่า

การเลือกซื้อเต็นท์ที่ถูกต้องช่วยให้การตั้งแคมป์สนุกขึ้น

การเลือกซื้อ เต็นท์ อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจซื้อเพราะเต็นท์มีหลายประเภทและหลายขนาด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงจุดประสงค์การใช้งานของตัวเองด้วยว่า ต้องการเต็นท์ แบบไหน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง และยังเพิ่มความสนุกให้กับการท่องเที่ยวแบบ ตั้งแคมป์ มากยิ่งขึ้น โดยการเลือกซื้อนอกจากศึกษาด้วยตัวเองแล้ว สามารถขอคำแนะนำจากคนขาย หรือกูรูก็ได้ เพื่อความชัวร์ว่าการตัดสินใจของคุณถูกต้อง 

Tent ตั้งแคมป์หรือสำหรับเดินป่าซึ่งได้ชื่อว่ายอดนิยมมีกี่ประเภท

ในปัจจุบันมีหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันพอสมควร อีกทั้งการใช้งานก็จะแตกต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นเรื่องน้ำหนัก และการพกพายังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยทำให้หลาย ๆ คน ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนั้นเรามาดูกันว่า อุปกรณ์ตั้งแคมป์ ชนิดนี้แต่ละประเภทมีอะไรบ้าง โดย Tent ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 5 แบบ นั่นก็คือ

1.  แบบแบ็คแพ็ค 

เต็นท์
แบบแบ็คแพ็ค

สำหรับ เต็นท์ ประเภทนี้ จะมีรูปร่างคล้ายอุโมงค์ แต่จุดเด่นคือ มีน้ำหนักเบามาก ไม่ว่าจะเป็นผ้า หรือแม้แต่เสาก็ยังมีน้ำหนักเบาสุด ๆ สำหรับประเภทนี้มีหลายรูปแบบด้วยกัน นอกจากนั้นการออกแบบมาจะเน้นหนักไปที่หลังคาต่ำมาก เพราะต้องการรองรับการต้านทานของแรงลม และอาจจะออกแบบให้มีระเบียงยื่นออกมาเล็กน้อย เพื่อใช้ประโยชน์ ทั้งนี้สำหรับเต็นท์บางรุ่นยังมีกันสาดติดมาให้อีกด้วย โดยมีขนาดตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งเหมาะกับการพกพามากที่สุด

2.  แบบครอบครัว 

เต็นท์
แบบครอบครัว

มีขนาดใหญ่ และมีพื้นที่ใช้สอยภายในกว้างมาก ทำให้สามารถรองรับจำนวนคนภายในครอบครัวได้มากกว่าเต็นท์แบพกพา โดยมีขนาดตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ส่วนลักษณ์โครงสร้างจะไม่ค่อยแตกต่างจากแบบพกพามากนัก แต่ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น ดังนั้นเต็นท์ชนิดนี้จะเหมาะสมกับการเดินทางที่มีรถยนต์ หรือการท่องเที่ยวที่มีการเดินทางด้วยรถส่วนตัวมากกว่า 

3.  แบบกระโจม

เต็นท์
แบบกระโจม

จะเป็นเต็นท์ที่ให้อารมณ์เหมือนที่พักของชนเผ่ายิปซี โดยจะมีเสา 1 ต้นอยู่ตรงกลาง จากนั้นจะมีผ้าเต็นท์กลางออกไปทั่วเป็นทรงกลม และยึดผ้าเต็นท์กับสมอเอาไว้กับพื้น เพื่อป้องกันลมพัด ส่วนเรื่องน้ำหนักอาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรื่องของผ้าเต็นท์ แต่จะมีปัญหาในเรื่องของเสาเต็นท์ ซึ่งข้อดีของเต็นท์ชนิดนี้คือ มีอากาศถ่ายเทมากกว่าเต็นท์ชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหน้าร้อน เพราะเต็นท์ชนิดนี้จะมีความโปร่งจากเสากลางที่สูงนั่นเอง 

4.  แบบบ้าน

เต็นท์
แบบบ้าน

สำหรับเต็นท์แบบนี้จะเหมาะกับการไปพักแบบครอบครัวใหญ่ หรือไปตั้งแคมป์กันกลุ่มใหญ่ อย่างเช่นกลุ่มเพื่อน หรือสมาคมต่าง ๆ เป็นต้น เพราะตัวเต็นท์มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งใน 1 หลัง ยังสามารถแบ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ข้างในเพิ่มเติมอีกที ทำให้เหมือนบ้าน และมีความมเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น โดยสามารถรองรับคนได้มากถึง 6-10 คน อีกทั้งยังมีความสูงของเต็นท์มากถึง 2 เมตร และยังมีประตู-หน้าต่างช่วยระบายความร้อน และอากาศภายในตัวเต็นท์ได้ดีอด้วย แต่เต็นท์แบบนี้จะมีปัญหาในการขนย้าย จึงไม่เหมาะกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะมากนัก 

5.  แบบป๊อปอัป

เต็นท์
แบบป๊อปอัป

ข้อดีของเต็นท์ตัวนี้คือน้ำหนักเบา และพกพาได้ง่าย อีกทั้งไม่จำเป็นต้องต่อเสา หรือเสียเวลากับการปักสมอบก เพราะเพียงแค่จับออกมาโยน ก็จะมีที่กันลมกันยุงในเวลาอันรวดเร็ว หรือพร้อมพักผ่อนทันที ส่วนเวลาเก็บก็ง่ายไม่ต่างจากนำมาใช้ แต่มีข้อเสียว่าไม่ค่อยคงทนเท่าไรนัก จึงไม่เหมาะกับการพักแรมในที่ลมแรง หรือมีสภาพอากาศแปรปรวนตลอดเวลา

ทั้ง 5 แบบที่นำเสนอไปนั้น ถือว่าเป็นกำลังเป็นที่นิยมของใครหลายคน สำหรับการตั้งแคมป์หรือการท่องเที่ยวแบบนอนค้างโดยไม่มีบ้านพัก และในปัจจุบันสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เปิดให้มีจุดกางเต็นท์แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งทำให้ช่วงนี้เต็นท์หลากหลายยี่ห้อ มีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อควรศึกษาและหาข้อมูลให้มากที่สุด เพื่อความเหมาะสมกับการใช้งาน และทำให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับตัวเงินที่เสียไป

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ โรงพยาบาลไทย บริการดีที่สุดประจำปี 2021

โรงพยาบาลไทย
5 อันดับ โรงพยาบาลไทย บริการดีที่สุดประจำปี 2021

ในปัจจุบัน โรงพยาบาลไทย ถือว่ามีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ไม่แพ้โรงพยาบาลประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีหลายโรงพยาบาลที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2021 ด้วยพัฒนาการด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบริการ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ

วิธีการบริการของโรงพยาบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจมาใช้บริการของประชาชน

ทั้งนี้ถ้าการบริการของ โรงพยาบาลไทย เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญทำให้คนเลือกมาใช้บริการ ซึ่งปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชนไทย มีประสิทธิภาพไม่ต่างจากประเทศอื่น ดังนั้น การพัฒนางานบริการของแต่ละแห่งจึงเป็นเรื่องดึงดูดใจของผู้ใช้บริการทันที

เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นอีกตัวเลือกของคนไข้เช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นเทคโนโลยียังเป็นอีกหนึ่งจุดขายของสถานพยาบาลนั้น ๆ เช่นเดียวกัน เพราะเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่ทำให้ผู้ใช้บริการพิจารณาการใช้บริการเป็นอันดับต้น ๆ ไม่ต่างจากงานบริการ อย่างไรก็ตามสำหรับ โรงพยาบาลไทยที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดติดอันดับท็อป 5 ยังคงได้รับการแนะนำแบบปากต่อปากอีกด้วย

1.  โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

โรงพยาบาลไทย
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

สำหรับที่นี่ยังคงรับเลือกให้เป็นโรงพยาบาลไทยเอกชนที่ดีที่สุดในเอเชีย จากรางวัลการันตีระดับสากล ด้วยบริการเกินคุณภาพด้วยในระดับมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวโดยได้รับรองมาตรฐานจากอเมริกา หรือ Joint Commission International หรือรู้จักกันในชื่อย่อว่า “JCI” อีกหนึ่งของไทย ข้อดีของที่นี่คือ บุคลากรทุกคนได้รับการอบรมอย่างดี ทำให้การบริการถูกจุดของผู้มาใช้บริการอย่างมาก อีกทั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยสร้างความมั่นใจให้มาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง จนเป็นโรงพยาบาลที่ชาวต่างชาติเลือกใช้บริการเป็นจำนวนมาก

2.  โรงพยาบาลสมิติเวช

โรงพยาบาลไทย
โรงพยาบาลสมิติเวช

โรงพยาบาลที่มีคุณภาพในการรักษามานาน ซึ่งได้รับการยอมรับจากคนไทยและต่างชาติมาโดยตลอด เนื่องจากได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจากสถาบันคุณภาพจาก รพ.แห่งสหรัฐอเมริกา Joint Commission International หรือรู้จักกันในชื่อย่อว่า “JCI” ทั้งนี้ สมิติเวช ยังได้ชื่อว่าเป็นสถานพยาบาลที่เหล่าคนดังเลือกมาใช้บริการเป็นประจำเสมอ โดยที่นี่มีการจัดอบรมบุคลากรทุกฝ่ายเป็นอย่างดี รวมถึงบุคลากรแพทย์ และพยาบาลต่อการบริการเป็นอย่างดี ทำให้การบริการออกมาดูดีมาก จนทำให้ที่นี่ได้รับการยืนยันจากผู้เข้ารับบริการว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีสุด ๆ

3.  โรงพยาบาลพญาไท

โรงพยาบาลไทย
โรงพยาบาลพญาไท

อีกหนึ่งโรงพยาบาลในเครือของกรุงเทพ โดยมีจุดเด่นหลายเรื่องเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งที่นี่ได้ชื่อว่ามีมาตรฐานสูงมาก ดังนั้นหากเลือกมอบความไว้ใจให้ที่นี่ดูแลรักษา จะได้พบกับการดูแลและการบริการที่ดีและมีคุณภาพแน่นอน โดยที่นี่มีหลายสาขา และได้ชื่อว่าเป็นตัวเลือกที่ใครหลายคนพร้อมจะแลกถึงแม้มีราคาค่ารักษาสูงก็ตาม

4.  โรงพยาบาลกรุงเทพ

โรงพยาบาลไทย
โรงพยาบาลกรุงเทพ

สำหรับที่นี่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง จนได้รับการยกย่องให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับชั้นนำของเมืองไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 40 สาขา โดยแต่ละสาขามีคุณภาพการบริการในมาตรฐานเดียวกัน จนทำให้ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าของรางวัล Thailand Zocial Award 2018 และในปี 2562 ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าของรางวัลนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทยมาหมาด ๆ ทั้งนี้ด้วยชื่อเสียงและคุณภาพในการรักษา ทำให้ที่นี่เป็นตัวเลือกที่หลายคนเลือกใช้บริการบ่อย ๆ โดยจุดเด่นของที่นี่คือการรักษาโรคหัวใจ

5.  โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

โรงพยาบาลไทย
โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย โดยในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งที่นี่จะมีการพัฒนาระบบต่าง ๆ ตลอดเวลา รวมถึงการให้บริการของบุคลากรตามแผนกต่าง ๆ อย่างดี นอกจากนั้นเรื่องเทคโนโลยี ถือว่าไว้ใจได้มากเช่นเดียวกัน เพราะได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย อีกทั้งยังมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและดูแลทุกคนด้วยความเต็มใจ ซึ่งทำให้หลายคนยอมจ่ายแพงเพื่อแลกกับบริการที่ดี และมีคุณภาพ

ปัจจุบันเมื่อพูดถึงโรงพยาบาลเอกชนเห็นได้ชัดว่า มีการแข่งขันกันหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ซึ่งงานบริการถือว่าเป็นจุดขายของสถานบริบาลชัดเจน ดังนั้น จำนวนผู้มาใช้บริการจะใช้จุดนี้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจเข้ามาใช้บริการอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่หลายคนใช้ตัดสินใจเลือกรับการรับรักษา หรือเลือกเดินทางไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องต่าง ๆ 

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ จุดชมวิวในไทย รับประกันได้ภาพสวยแน่นอน

จุดชมวิว
5 อันดับ จุดชมวิวในไทย รับประกันได้ภาพสวยแน่นอน

การได้ดูวิวสวย ๆ ยามเช้า และยามเย็น จากจุดแลนด์มาร์คที่ได้ชื่อว่า จุดชมวิว จึงถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในประเทศไทยก็มีจุดชมวิวสวย ๆ มากมายหลายแห่ง และมีทั้งวิวธรรมชาติ รวมถึงวิวอาคารบ้านเรือน แต่ไม่ว่าจะเป็นวิวแบบไหน ความรู้สึกที่ได้คือความสวยงาม และความประทับใจแน่นอน

ถ้าพูดถึง จุดชมวิว ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ 

อย่างที่ได้บอกไปว่า จุดชมวิว หรือ VIEW POINT ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของแหล่งท่องเที่ยว หรืออาคารนั้น ๆ ซึ่งนอกจากมีจุดชมวิวสวย ๆ ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีแบบตึกสูงอีกด้วย ซึ่งแต่ละแบบสามารถสร้างความรู้สึก และความประทับใจแตกต่างกันไป แต่ภาพรวมแล้ว ภาพวิวสวย ๆ ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนสามารถเพิ่มบรรยากาศดี ๆ และชาร์จพลังให้ทุกคนได้แน่นอน

5 อันดับแหล่งชมวิวที่ต้องไปดูความสวยงามด้วยตัวเอง

ซึ่งถ้าพูดถึง จุดชมวิว แน่นอนว่าประเทศไทยมีจุดชมวิวแนะนำหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งต่างให้ภาพความสวยงามแตกต่างกันออกไป แต่ในวันนี้ขอแนะนำ 5 อันดับ จุดวิวพอยท์ ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง บางแห่งสามารถดูพระอาทิตย์ขึ้น และตกได้ และบางแห่งจัดว่าเป็นสถานที่วัดใจของใครหลายคนไปในตัวดังนี้ 

1.  ภูกระดึง

จุดชมวิว
ภูกระดึง

สถานที่ท่องเที่ยวกางเต็นท์ยอดฮิตของจังหวัดเลย ถึงแม้ว่าการเดินทางไปถึงจุดกางเต็นท์ เล่นเอานักท่องเที่ยวบ่นระงม และตามคำบอกเล่าถึงการเดินทางมาเที่ยวพร้อมกับคนรัก ที่นี่คือสถานที่พิสูจน์รักแท้ที่ดีทีเดียว แต่เมื่อเดินทางไปถึงยอดจุดกางเต็นท์ และได้ไปอยู่ที่จุดชมวิวสวย ๆ อาการเหนื่อยล้าจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะทั้งแสงแรกของวัน และแสงสุดท้ายของวัน ที่ทอแสงเป็นสีส้มตรงขอบฟ้า จะเพิ่มความสวยงามตามธรรมชาติ ต่อหน้าทุกคนทันที

2.  เสม็ดนางชี 

จุดชมวิว
เสม็ดนางชี

อีกหนึ่งสถานที่ชมวิวสุดฮิต และกำลังมาแรงแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่จังหวัดพังงา โดยในปัจจุบันถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สร้างความประทับใจได้ ทั้งวิวพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก นอกจากนั้นหากได้ขึ้นไปพักสักคืนวิวในช่วงกลางคืนที่มีแสงจันทร์สาดส่องกระทบผิวน้ำทะเล ท่ามกลางภูเขาที่ล้อมรอบบริเวณ รับรองได้ว่าสวยมากจริง ๆ ส่วนที่พักมีทั้งจุดกางเต็นท์ แบบรีสอร์ต หรือแบบกระท่อมบนเขา แต่ทุกแบบรับรองว่าได้วิวหลักล้านเหมือนกัน

3.  แหลมพรหมเทพ

จุดชมวิว
แหลมพรหมเทพ

ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องของวิวทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกดินในจังหวัดภูเก็ต จากภาพของแหลมที่ทอดยาวไปในทะเล พร้อมกับต้นตาลสูงที่โยกไปตามแรงลม ซึ่งให้เสียงคล้ายดนตรีประสาน รวมกับเสียงลม และเสียงคลื่นที่ซัดเข้ามา ยิ่งเพิ่มความสุขให้กับการชมวิว และพักผ่อนมากขึ้นทันที แถมการชมวิวสามารถมาเก็บภาพความประทับใจแบบฉายเดี่ยว หรือมาคู่ รวมถึงมาแบบกลุ่มเพื่อนก็ดี

4.  มหานครสกายวอล์ค

จุดชมวิว
มหานครสกายวอล์ค

ข้ามมาชมวิวบนตึกกันบ้าง และแน่นอนว่าจะไม่พูดถึง มหานครสกายวอล์ค คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไฮไลท์อยู่ที่พื้นกระจกขนาดใหญ่ที่สุดของโลก บนชั้นที่ 78 ทำให้มองเห็นวิวสวย ๆ ของเมืองกรุงได้ครบ 360 องศา ส่วนบัตรค่าเข้าวันจันทร์ – ศุกร์ ราคาผู้ใหญ่จะเริ่มต้นที่ 520 บาท ส่วนเด็กอายุ 3 – 15 ปี รวมถึงผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปจะเริ่มต้นที่ 250 บาท และในวันเสาร์ – อาทิตย์ ราคาผู้ใหญ่จะเริ่มต้นที่ 850 บาท ส่วนเด็กอายุ 3-15 ปี รวมถึงผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปจะเริ่มต้นที่ 250 บาท ทั้งนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 11.00-21.00 น.

5.  ตึกใบหยก

จุดชมวิว
ตึกใบหยก

จุดชมวิวในเมืองกรุงที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เนื่องจากที่นี่คือจุดชมวิวรอบเมือง 360 องศา โดยความโดดเด่นของที่นี่ไม่ได้จบแค่ชมวิวเท่านั้น แต่ยังมีมื้ออาหารอร่อย ๆ คอยเพิ่มบรรยากาศชมวิวรอบเมืองกรุงให้ทุกท่านอย่างดีอีกด้วย โดยราคาชมวิวพ่วงบุฟเฟ่ต์อาหารจะเริ่มต้นที่ 950 บาท โดยจะเปิดให้บริการในเวลา 17.00 – 19.00 น. และ 19.00 – 21.00 น. ส่วนใครที่ต้องการชมวิวสามารถขึ้นชมความสวยงามได้ถึง 24.00 น.

สำหรับจุดพอยต์ชมวิวทั้ง 5 แห่ง ที่พูดถึง จัดว่าเป็นจุดชมวิวที่หลายคนเคยสัมผัสความสวยงามมาแล้ว ดังนั้น ทั้ง 5 แห่งที่พูดถึงน่าจะเป็นจุดชมวิวที่สามารถช่วยให้หลายคนตัดสินใจได้ว่าสนใจชมวิวในแบบไหนเป็นพิเศษ ตามความชอบของแต่ละคน

Categories
รวมบทความ

5 อันดับ ดาราไทยผลงานดีอนาคตไกลในต่างแดน

ดารา
5 อันดับ ดาราไทยผลงานดีอนาคตไกลในต่างแดน

ถ้าพูดถึง ดารา ของไทยในเวลานี้หลายคนมีพัฒนาการทางการแสดงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตอาจจะไม่ได้จบแค่การเป็นนักแสดงในไทยเท่านั้น แต่มีแนวโน้มไปได้ไกลในวงการบันเทิงระดับนานาชาติสูงมาก ซึ่งปัจจุบันมีหลายคนร่วมเป็นนักแสดงของค่ายดังในประเทศต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ดาราหลายคนมีโอกาสเซ็นสัญญากับต่างประเทศ

การเซ็นสัญญากับค่ายต่าง ๆ ในต่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ถึงแม้จะเป็น ดารา คนดังในประเทศไทยมาก่อนก็ตาม แต่ฝีมือการแสดงร่วมกับมีแนวโน้มเจาะตลาดงานละคร ซีรีย์ และหนังในประเทศนั้น ๆ ได้ไกล ถึงจะมีโอกาสได้รับสัญญาทำงานระยะยาว ซึ่งปัจจุบันมีดาราไทยโกอินเตอร์อยู่ไม่น้อย หลายคนกำลังทำงานใน ฮ่องกง, จีน หรือบางคนมีโอกาสร่วมงานกระทบกับดาราชั้นนำในฮอลลีวู้ดมาแล้วหลายเรื่องด้วยกัน

นอกจากนั้นยังมีงานในต่างประเทศให้เห็นกันต่อเนื่อง

จะเห็นว่า ดารา ไทยหลายคนหายหน้าหายตาไปจากวงการไทยไปนาน แต่กลับมีผลงานหลายเรื่องติดต่อกันในประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และยังได้ชื่อว่าเป็นขวัญใจของแฟนละคร และซีรีย์ในประเทศนั้น ๆ อีกด้วย ซึ่งการันตีว่าแต่ละคนมีฝีมือการแสดงและผลงานยอดเยี่ยมสุด ๆ ถึงขั้นขึ้นแท่นเป็นนักแสดงไทยสุดฮอตในต่างประเทศอีกด้วย

สำหรับ 5 นักแสดงไทยที่ประสบความสำเร็จในต่างแดนคือ

1.  จา – พนม ยีรัมย์

ดารา
จา – พนม ยีรัมย์

คนนี้ถือว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดี กับสุดยอดดาราราชานักบู๊ของไทย ที่มีโอกาสกระทบไหล่คนดังในระดับฮอลลีวู้ดมาแล้วหลายคนด้วยกัน แถมยังเคยร่วมแสดงนักฟอร์มยักษ์อย่าง Fast and Furious ซึ่งมี วิน ดีเซล, เดอะ ร็อค และ พอล วอล์คเกอร์ เป็นนักแสดงนำ นอกจากนั้นเจ้าตัวยังโลดแล่นในเวทีฮอลลีวู้ดหลายเรื่องด้วยกัน อย่างเช่น ยิปมัน รวมถึง Monster Hunter จนทำให้ได้รับฉายาว่า “โทนี่ จา”

2.  ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล

ดารา
ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล

ถึงแม้ว่าในไทยนอกจากเพลงในหลายปีที่ผ่านมา หนุ่มไมค์อาจจะไม่ค่อยมีผลงานให้เห็นกันมากนัก แต่สำหรับผลงานในประเทศจีน เขาไม่เคยเป็นรองใครแน่นอน เพราะทำงาน และลุยงานที่นั่นมานานหลายปี แถมยังมีแฟนคลับแน่นมาก จนได้รับรางวัล Overseas Outstanding All-Artist Award อีกทั้งยังคงมีละครในประเทศจีนอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย

3.  ปอย – ตรีชฎา เพชรรัตน์

ดารา
ปอย – ตรีชฎา เพชรรัตน์

หลังจากหายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงบ้านเราไปนาน เวลานี้สาวปอยกลับมาพร้อมกับความสำเร็จอย่างมาก เมื่อความสามารถของเธอได้แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เธอไม่ได้เป็นแค่สายนางงามเท่านั้น แต่เรื่องการแสดงไม่เป็นรองใครแน่นอน อีกทั้งเธอยังแสดงพลังให้หลายคนมองข้ามขีดจำกัดคำว่าเพศสภาพไปได้เลย จากผลงานการแสดงระดับโกอินเตอร์ครั้งแรกในเรื่อง “The White Strom” ซึ่งเจ้าตัวมีโอกาสแสดงร่วมกับ กู่เทียนเล่อ โดยเรื่องนี้เจ้าตัวทำไว้ดีมาก จนในที่สุดดาราสาวประเภทสองสุดสวยอย่างสาวปอย เริ่มมีผลงานการแสดงออกมาให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์ และหนังอีกหลายเรื่องของฮ่องกง แถมกระแสยังดีต่อเนื่องอีกด้วย

4.  บี้ เคพีเอ็น หรือ ธรรศภาคย์ ชี

ดารา
บี้ เคพีเอ็น หรือ ธรรศภาคย์ ชี

สำหรับดาราคุณพ่อลูกสองคนลูกครึ่งไทย-ไต้หวันคนนี้ยังคงฮอตปรอทแตกในจีนเหมือนเดิม ส่งผลให้ผลงานในไทยไม่ค่อยเห็นหน้าเขาเท่าไหร่นัก โดยผลงานที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกคือ Cinderella Chef โดยวันแรกที่ออนแอร์ ทำยอดวิวถล่มทลายไปถึง 100 ล้านวิว ภายในเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงแรกเท่านั้น แถมหนุ่มคนนี้ยังร้องเพราะอีกด้วยนะ

5.  ปู – ไปรยา สวนดอกไม้

ดารา
ปู – ไปรยา สวนดอกไม้

สำหรับสาวมั่นคนนี้แม้ว่าไม่ได้ร่วมแสดงละคร ซีรีย์ หรือหนัง แต่เส้นทางโกอินเตอร์ของเธอคือ บทบาทของนางแบบสาวในระดับอินเตอร์เนชันแนล หลังจากเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ในอเมริกาชื่อดัง ทำให้มักได้เห็นสาวคนนี้ปรากฏตัวบนรันเวย์บ่อย ๆ นอกจากนั้นเธอยังได้ชื่อว่าเป็นทูตของ UNHCR อีกด้วย

สำหรับทั้ง 5 รายชื่อแม้ว่าบางคนไม่ได้เล่นละคร แต่มีผลงานในต่างแดนน่าประทับใจ และถือว่าเป็นตัวแทนของคนไทยมานาน ส่วนในปัจจุบันนี้มี ดารา ไทยหลายคนที่เริ่มมีโอกาสไปได้สวยในวงการบันเทิงของประเทศอื่น แต่ต้องรอลุ้นกันต่อว่าใครจะได้รับโอกาสนั้นเป็นรายต่อไป