หมวดหมู่: รวมบทความ

การเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันนำพามาซึ่งการพัฒนา เทคโนโลยี หรือ TECHNOLOGY ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา และดูเหมือนว่าการพัฒนาจะไม่มีวันหยุดนิ่ง หรือมีจุดสิ้นสุดแน่นอน ดังนั้น การพัฒนาตัวเองของเราทุกคนจำเป็นต้องมีต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เพราะในอนาคตดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ดังนั้น สิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว และเราทุกคนต้องค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่ให้ได้เช่นเดียวกัน 

ทั้ง 5 อันดับ เริ่มเกิดขึ้นบนโลกมาระยะหนึ่งแล้ว

คำว่า เทคโนโลยี ในยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแน่นอน เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเริ่มนำเอาความทันสมัยเข้ามาใช้งานมากขึ้น และในอนาคตเชื่อว่าระบบการทำงานแบบเดิม ๆ อาจจะเริ่มหายไป เนื่องจากการเข้ามาของ TECHNOLOGY ใหม่ ๆ นั่นเอง ซึ่งต้องมาดูกันต่อว่าในอนาคตอะไรคือ สิ่งใหม่ ๆ ที่เราจะได้ใช้ และมีแนวโน้มว่าจะเขามาแทนที่ระบบเดิม ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีน่าสนใจ และกำลังมาแรงมีหลายรูปแบบดังนี้

1.  ปัญหาประดิษฐ์ หรือ ARTIFICAL INTELLIGENCE (AI)

ในส่วนของระบบ AI เริ่มมีความสำคัญ และมีบทบาทมากขึ้นทุกปี ซึ่งในเวลานี้เริ่มมีบทบาททางด้านสังคม เศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในแต่ละประเทศต่างมีพัฒนาการระบบเอไอของตัวเองต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในอนาคตคาดว่าอาจจะนำมาใช้งานแทนมนุษย์ในส่วนงานต่าง ๆ อีกด้วย อย่างเช่น การนำหุ่นยนต์ หรือระบบดิจิตอล มาใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น 

2.  CLOUD COMPUTING

การใช้งาน CLOUD สำหรับคนทำงานหลายคนต่างคุ้นชินกันเป็นอย่างดี เพราะเราสามารถเจอในบริการตั้งแต่สมาร์ทโฟน จนถึงระบบคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น I CLOUD ใน APPLE หรือ GOOGLE DRIVE รวมถึง ONE DRIVE ในไมโครซอฟต์ โดยเป็นการจัดการพร้อมกับเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายมากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม 

3.  ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ระบบเครือข่ายที่มีการพัฒนามากขึ้น ทั้งเรื่องของความเร็ว และครอบคลุมผู้ใช้งานอย่างทั่วถึง โดยในปัจจุบันระบบเครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตพัฒนามาสู่ในรูปแบบของ 5G เรียบร้อยแล้ว และในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อไปเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สัญญาณที่ดี และเสถียรมากที่สุดทั่วโลกในอนาคต

4.  EXTENDED REALITY (XR)

ระบบการจำลองเสมือนจริงที่สามารถช่วยให้การตัดสินใจการเลือกซื้อของ หรือการตัดสินใจซื้อบริการต่าง ๆ ง่ายมากขึ้น โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะมาพร้อมกับความสามารถที่เราได้เห็นภาพสิ่งของแบบ 3 มิติ ซึ่งปัจจุบันนำมาใช้กับงานขาย และการผลิตแบรนด์สินค้ามากขึ้น 

5.  หุ่นยนต์ รวมถึงยานยนต์ไร้คนขับ

หนังสือ แหล่งรวมเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อให้ความรู้ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งปัจจุบัน BOOK มีหลากหลายแนวให้เลือกอ่านตามความชอบของแต่ละคน และให้เข้ากับยุคสมัยที่เกิดการพัฒนาไปข้างหน้ามากขึ้น ทำให้เราได้เห็นช่องทางอ่านหนังสือหลากหลายมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายมากขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นการอ่านหนังสือเล่มโปรดผ่านระบบออนไลน์ 

แต่ละแนวเริ่มได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น

สำหรับหนังสือมีหลายแนวให้เลือกอ่าน ซึ่งแต่ละแนวต่างให้ความสนุกแก่ผู้อ่านต่างกัน แต่ภาพรวมแล้วหากไม่นับรวมการ์ตูน หรือนิยายที่แต่งขึ้นมาเอง สิ่งที่ผู้อ่านจะได้กลับไปก็คือ ความรู้ แน่นอน เนื่องจากในนั้นเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่มีความสำคัญมากมายเอาไว้ และบางเรื่องถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหลายคนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา หรือแนวทางการใช้ชีวิต รวมถึงการลงทุน เป็นต้น ส่วนชนิดของแนวหนังสือมาแรง ในปัจจุบันมีดังนี้ 

1.  ปรัชญา

หนังสือปรัชญา PHILOSOPHY แนวนี้จะมาในรูปแบบของหลักการทางความคิด และการมองหลายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่มีความมั่นคง ยากต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง อาทิเช่น ปรัชญาชีวิต เป็นต้น โดยมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ของคนดังระดับโลกมากมาย แต่มีเป้าหมายคือต้องการให้มุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จ หรือการมองโลกรอบตัวในทางบวก และสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น 

2.  ประวัติศาสตร์

ปัจจุบันหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (HISTORY-BOOK) เริ่มเป็นที่สนใจของชนรุ่นหลังมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายคนต่างค้นหาความจริงที่อยากรู้ผ่านตัวหนังสือจากนักเขียนคนดังต่าง ๆ ซึ่งบางคำถามสามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้ แต่บางคำถามยังต้องตามหาคำตอบกันต่อไป ซึ่งความน่าสนใจของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นคือ การได้รู้ภูมิหลังของแต่ชาติ แต่ละสถานที่ว่ามีความเป็นมาอย่างไร กว่าจะมาถึงจุดที่ยืนในปัจจุบัน

3.  การเมืองและสังคม

หนังสือแนวนี้เริ่มเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น ซึ่งจากสังคมของเราในวันนี้การเมืองไม่ได้เป็นสิ่งไกลตัว แต่เป็นสิ่งใกล้ตัวมานานแล้ว ดังนั้น การหาความรู้เกี่ยวกับการเมืองไว้บ้าง ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านสูงมาก รวมถึงการเรียนรู้ถึงสังคมในปัจจุบัน จะทำให้การใช้ชีวิตของทุกคนง่ายมากขึ้นอีกด้วย 

4.  จิตวิทยา และการพัฒนาตัวเอง

หากเป็นเมื่อก่อนการหยิบหนังสือจิตวิทยาขึ้นมาอ่านนั้นคือเรื่องน่าอายมาก แต่ในปัจจุบันการเรียนรู้จิตวิทยา จะช่วยให้การรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นรอบด้านง่ายขึ้น และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นอกจากนั้นยังช่วยให้การพัฒนาตัวเองง่ายมากขึ้นอีกด้วย 

5.  นิยาย

สำหรับนิยายเป็นแนวหนังสือที่ไม่เคยเอาท์ไปไหน เนื่องจากหลายคนเลือกอ่านหนังสือนิยายเป็นกิจกรรมยามว่างเว้นจากการทำงาน หรือในวันที่ต้องการสโลว์ไลฟ์มากที่สุด ซึ่งหลายคนมองว่าการอ่านหนังสือจะช่วยให้มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น และได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นนั่นเอง

โดยทั้ง 5 แนว ยังคงฮอตปรอทแตกต่อเนื่อง

สำหรับ หนังสือ ทั้ง 5 แนวที่กล่าวถึง ในปัจจุบันกลายเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ และรุ่นเก่ามากขึ้น เนื่องจากได้รับความรู้เพิ่มเติม และได้รับรู้ถึงความเป็นมาในอดีตของสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น จนทำให้หลายเล่มของนักเขียนถูกยกให้เป็น หนังสือยอดฮิต หลังจากได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก และในอนาคตเชื่อว่าน่าจะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 

ถ้าพูดถึง มหาวิทยาลัย ที่ดีที่สุดในโลก หลายคนคงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งแน่นอน ด้วยชื่อเสียงเรียงนามที่มีมาอย่างยาวนาน โดย UNIVERSITY แต่ละแห่งต่างมีชื่อเสียงที่น่าสนใจ และที่สำคัญได้รับการรับรองจากนานาชาติ และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความสนใจจากนักเรียนทั่วโลก ซึ่งมาดูกันว่าแต่ละแห่งคือที่ไหนกันบ้าง และแต่ละแห่งมีความน่าสนใจมากแค่ไหน

แต่ละแห่งมีชื่อเสียงมายาวนานหลักร้อยปี

สำหรับ มหาวิทยาลัย ที่จะพูดถึงทั้ง 5 อันดับ ถือว่าเป็น สถานศึกษาชื่อดังระดับโลก มานาน ล่าสุดการจัดอันดับ สถานศึกษา ที่ดีที่สุดในโลก โดยนิตยสาร FORBES ยกให้แต่ละแห่งเป็นแหล่งศึกษาที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ซึ่งจากการจัดอันดับจากสถานศึกษาทั้งหมด 86 ประเทศทั่วโลก 5 อันดับแรกของโลก คือสถาบันการศึกษาที่มีที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกามีดังนี้ 

1.  ฮาร์ดเวิร์ด (HARVARD UNIVERSITY)

เป็นมหาวิทยาลัยที่เรามักได้ยินชื่อบ่อยครั้ง และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุยาวนานมากกว่า 300 ปี ปัจจุบันยังได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของอเมริกา โดยชื่อเสียงทางวิชาการของที่นี่ไม่เป็นรองใครแน่นอน เนื่องจากเป็นสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตคุณภาพอย่างมาก โดยวัดจากรางวัลโนเบล ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลก ที่นักศึกษา และอาจารย์ของที่นี่ขึ้นรับเป็นว่าเล่นถึง 15 คน ด้วยกัน 

2.  MASSACHUSETTS INSTITUTE OF TECHNOLOGY 

สามารถเรียกว่า สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ โดยที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศอเมริกา ซึ่งที่นี่มีความโดดเด่นในด้านงานวิจัยในสาขา เคมี ฟิสิกส์ วิศวกรรมต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยทางด้านชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ รวมถึงการจัดการ ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอายุราว 161 ปี เปิดสอน 32 คณะ และเคยได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี 2014 มาก่อน

3.  STANFORD UNIVERSITY

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่จัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกติดอันดับท็อป 5 ตั้งอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย, อเมริกา โดยสถาบันแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของบุคคลสำคัญระดับโลกมาแล้วหลายท่านด้วยกันอาทิเช่น เฮอร์เบอร์ต ฮูเวอร์ และ จอห์น เอฟ.เคนเนดี้ เป็นต้น

4.  UNIVERSITY OF CALIFORNIA-BERKELEY

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกที่หลายคนใฝ่ฝัน อยากจะเข้าเรียนมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่หลายคนให้การยอมรับมายาวนานถึง 153 ปี มาแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาถูกยกให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน 

5.  UNIVERSITY OF OXFORD

อ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังในอังกฤษ ซึ่งเราคุ้นเคย และได้ยินชื่อมาอย่างยาวนาน โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าก่อตั้งเป็นทางการเมื่อไหร่ แต่ที่นี่สามารถสร้างบุคคลที่มีชื่อเสียงทั่วโลกมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีของอังกฤษมากถึง 25 ท่านด้วยกัน และมีงานทางวิชาการหลากหลายสาขาออกมาสู่สายตาคนทั่วโลกอีกด้วย

ทุกแห่งคือฝันของนักเรียนทั่วโลก

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย แต่ละแห่งที่กล่าวถึงมีความโดดเด่นในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องของวิชาการ หลังจากมีคุณภาพในการผลิตบัณฑิตสู่สังคมการทำงานที่มีประสิทธิภาพระดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด ส่งผลให้ในเวลาต่อมา สถานศึกษาอุดมศึกษา ทั้งหมดได้รับการยอมรับในวงกว้าง และต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกทันที รวมถึงเป็นสถาบันในฝันของหลายคนอีกด้วย 

เสื้อวินเทจ ที่เรานำมาจัดอันดับในวันนี้นั้นเป็นเสื้อที่ผ่านการใช้งานมาเกิน 10 ปี แล้วยังมีราคาที่แพง จนเรียกได้ว่าแพงกว่าซื้อเสื้อตัวใหม่ ๆ บางตัวอีกด้วย หรือบางตัวก็ไม่สามารถหาซื้อได้อีก ถึงแม้จะมีเงินมากมาย และบางตัวก็ต้องตามหากันไปหลายเดือนเลยทีเดียว ซึ่งมันกลายเป็นเสน่ห์ของการตามหามาสะสม 

การจำแนกสายแต่ละสายของเสื้อวินเทจ

ทุกวันนี้เสื้อเก่าที่มีการผลิตตั้งแต่ปี 90’s ขึ้นไปนั้นมีราคาที่สูงขึ้นมาก และใครกำลังจะหาซื้อมาสะสม บอกก่อนเลยว่ามีด้วยกันมากมายหลายสายให้เลือกกันเลยทีเดียว บางตัวก็มีราคาแพงจนซื้อของอย่างอื่นยังคุ้มกว่า แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนรักสายนี้ เพราะยิ่งเก็บไว้นานยิ่งมีราคาที่สูงขึ้น อีกทั้งยังแลกมาด้วยคุณค่าทางจิตใจ ในเมื่อของมันต้องมี วันนี้เราจึงพาไปจัดอันดับ เสื้อวินเทจ ในแต่ละสายกัน

1.  เสื้อยืดวินเทจวงดนตรี หรือที่เรียกกันว่าเสื้อวง

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มซื้อ เสื้อวินเทจ มาสะสมนั้น ส่วนมากมักเริ่มจากการเล่นเสื้อวงที่มีชื่อเสียง ซึ่งเสื้อยืดวงดนตรีนั้นส่วนมากก็ผลิตมาในจำนวนจำกัด บ้างก็มาจากการทัวร์ของวงดนตรีที่ไปทำการแสดงคอนเสิร์ต หรือมาจากงานการกุศลในปีนั้น ๆ ของการผลิต จึงทำให้เสื้อยืดวงดนตรีนั้นมีความต้องการเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่ชอบวงนั้น ๆ จนทำให้ความต้องการของคนซื้อมากกว่าปริมาณของที่มี และทำให้เสื้อวงดนตรีมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ เสื้อวงนั้นมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 5 ร้อยบาท – 5 แสนบาทกันเลยทีเดียว อย่างเช่น เสื้อยืดวงของ KURT COBAIN SOIC YOUTH 1994

2.  เสื้อยืดวินเทจลายการ์ตูน

เสื้อยืดลายการ์ตูนต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทางค่ายการ์ตูนในประเทศต่าง ๆ ได้ผลิตมา และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื้อการ์ตูนนั้นมีราคาแพง แต่ก็ยังไม่ถึงกับเท่าเสื้อยืดวงก็คือ การย้อนอดีตในวัยเด็ก สำหรับกลุ่มที่ชื่นชอบในการ์ตูนสมัยเด็กนั้นมักจะหาเสื้อยืดวินเทจที่มีลายตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบมาใส่ แต่หารู้ไม่ว่าเสื้อลายการ์ตูนพวกนี้นั้นมีราคาเริ่มต้น 2 ร้อยบาท – 1 แสนบาท อย่างเช่น ALADDIN GENIE 1992

3.  เสื้อยืดลายรถ

ผู้ชายส่วนมากชื่นชอบในความเร็ว และรักในการแต่งรถ ต้องไม่พลาดกับการไปดูการแข่งรถต่าง ๆ ทั้งในสนาม หรือใน TV ก็ต้องเห็นรถแข่งสวย ๆ เท่ ๆ แรง ๆ อยู่ในสนาม แต่จะทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองรถแข่ง และความเร็วขนาดนั้น ซึ่งมีราคาแพงแสนแพง แต่ทางผู้จัดนั้นได้เสนอทางออกให้ผู้เข้าชมที่ชื่นชอบในรถแข่ง ด้วยการผลิตเสื้อแต่ละสำนักออกมาวางขาย พร้อมกับลวดลายที่สวยงามตรงใจกับสาวกนักซิ่งเป็นอย่างมาก แต่เสื้อยืดลายรถนั้นได้มีการผลิตเฉพาะในสนามแข่ง และผลิตเพียงแค่ลายต่อปีในจำนวนจำกัดเพียงเท่านั้น ทำให้ใครที่ชื่นชอบรถยี่ห้อนี้ลายแบบนี้ต้องรีบจับจองกันไปเลยทีเดียว โดยเสื้อยืดลายรถนั้นจะมีราคาเริ่มต้น 7 ร้อยบาท – 3 หมื่นบาท 

4.  เสื้อยืดลายภาพยนตร์

ในการตามหาเสื้อยืดแนววินเทจลายภาพยนตร์นั้น ไม่ได้ยากมากเท่าไรนัก เพราะหนังแต่ละเรื่องได้ผลิตเสื้อออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าใครที่จะหาเสื้อยืดลายภาพยนตร์ที่เราได้ดูในอดีตมาใส่ ถือว่าเป็นเรื่องยากมากในการตามหา เพราะถึงเสื้อยืดลายภาพยนตร์นั้นจะมีเยอะ แต่สภาพแต่ละตัวนั้นแทบจะดูไม่ได้ หรือลายไม่สวยก็มี จึงทำให้เสื้อยืดลายภาพยนตร์เริ่มมีราคาสูงขึ้นตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับแพงมาก โดยที่ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 5 ร้อยบาท – 2 หมื่นบาท อย่างเช่น MENS JURASSIC PARK DINOSAUR T REX

5.  เสื้อยืด BOOTLEG

เสื้อยืดวินเทจ BOOTLEG คือเสื้อที่ทำการลอกเลียนแบบ หรือทำการสกรีนใหม่ให้เป็นเสื้อของวง ๆ นั้น หรือการ์ตูน และภาพยนตร์แต่ละเรื่อง เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเสื้อปลอมที่ผลิตมาเกิน 10 ปีแล้ว ซึ่งเสื้อ BOOTLEG บางตัวนั้นทางเจ้าของหนัง หรือการ์ตูน ไม่ได้มีการทำผลิตมา แต่ความต้องการของคนที่ต้องการจะหาเสื้อของเรื่อง ๆ นั้นมาใส่ จึงเป็นเรื่องยากมาก ทำให้เสื้อยืด BOOTLEG มีราคาแพง โดยราคาเริ่มต้น ประมาณ 2 ร้อยบาท – 4 พันบาท เช่น DRAGON BALL DBZ BOOTLEG

ในวันนี้การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก จนทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะออกไปทำงานได้ หรือต้องจำกัดบริเวณของตนเอง เพื่อไม่ให้มีโอกาสการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และใครหลายคนอาจจะกลัวผลข้างเคียงของ วัคซีนโควิด 19 ที่จะส่งผลต่อสุขภาพของเรา

การทำให้ร่างกายพร้อมสมบูรณ์ก่อน และหลังการฉีดวัคซีนโควิด 19

ใครหลายคนอาจจะได้รับ วัคซีนโควิด 19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือใครอีกหลายคนที่กำลังจะไปรับการฉีด ต้องอ่านบทความนี้ เพราะเราจะมาแนะนำ 5 วิธีดูแลตัวเองตั้งแต่ก่อน และหลังการฉีด เพื่อที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และลดผลข้างเคียงอีกด้วย เพราะการฉีดวัคซีนนั้นมีความจำเป็น สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 และลดการแพร่ระบาดของโรค

1.  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้มากขึ้น และยังสามารถลดผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนได้อย่างดีอีกด้วย เราจึงควรที่จะรับประทานอาหารที่สุกสะอาด และลดอาหารจำพวกแป้ง หลีกเลี่ยงพวกของมัน ของทอด และหันมารับประทานอาหารจำพวกโปรตีนให้มากขึ้น เพราะอาหารจำพวกโปรตีนนั้นจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ยิ่งสำหรับผู้สูงอายุนั้นยิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้สูงอายุนั้นอยู่ในกลุ่มเสียงในการติดเชื้อโควิด 19 แล้วส่งผลอันตรายมากกว่าวัยอื่น นอกจากนี้การรับประทานปลายังจะเป็นการได้รับโปรตีนในปริมาณที่มากขึ้น เนื่องจากในเนื้อของปลามีปริมาณไขมันที่มากกว่า โดยเฉพาะจำพวกปลาน้ำเค็ม

2.  รับประทานอาหารที่มีวิตามิน และแร่ธาตุ

โดยปกติร่างกายของเราจะไม่สามารถสร้าง หรือสังเคราะห์วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นจะต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร หรืออาหารเสริมเท่านั้น โดยวิตามิน และแร่ธาตุที่จะช่วยเสริมสร้างร่างกาย ช่วยลดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน หลัก ๆ แล้วจะมี 4 ประเภทใหญ่คือ วิตามิน C เป็นวิตามินที่สำคัญอย่างมากที่จะช่วยป้องกันไข้หวัด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย ซึ่งสามารถพบได้ในผลไม้ เช่น มะขามป้อม ส้ม , วิตามิน D เป็นวิตามินอีกตัวที่สำคัญต่อการเสริมสร้างร่างกายของเรา และยังสามารถช่วยบำรุงกระดูก จึงเป็นส่วนสำคัญใน การรักษาโควิด 19 ได้ดีที่สุด สามารถพบได้มากในอาหารจำพวก นม ไข่แดง เห็ด วิตามิน , Zn พบมากในหอยนางรม และในเนื้อแดง , วิตามิน Mg พบมากใน ผักขม และกล้วย เป็นวิตามินที่สามารถเป็นแหล่งพลังงานได้

3.  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนั้นจะทำให้ร่างกายหลาย ๆ ส่วนของเราได้พัก ได้ฟื้นฟู และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้น แนะนำว่าให้นอนหลับพักผ่อนให้ได้นานถึง 6 – 8 ชั่วโมง ทั้งก่อน และหลังการไปฉีด วัคซีนโควิด 19 อย่างน้อย 2 วัน เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง และลดผลข้างเคียงที่ตามมาภายหลัง

4.  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

ในแต่ละวันคนเรานั้นต้องกินน้ำขั้นต่ำให้ได้วันละ 1 ลิตร แต่เดิมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรานั้นลดผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนได้ส่วนหนึ่ง เพราะว่าเลือดของเรามีองค์ประกอบหลักก็คือ น้ำ ซึ่งการที่เรากินน้ำน้อยก็จะส่งผลทำให้เลือดของเราหนืดมากขึ้น ทำให้เราไม่สดใส หรืออ่อนเพลียมากขึ้น

5.  สังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน

ในประเทศไทยตอนนี้ก็จะมีวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด 19 หลัก ๆ อยู่ 2 ชนิดให้เราได้เลือกกันนั้นก็คือ วัคซีนเชื้อเป็น และเชื้อตาย ซึ่งเชื้อเป็นก็คือ แอสตร้าเซนเนก้า ในส่วนของเชื้อตายนั้นก็คือซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย เราจึงควรหาข้อมูลของวัคซีน และเลือกฉีดให้เหมาะสม ที่สำคัญคือ ต้องสังเกตอาการหลังการฉีดวัคซีน หากรู้สึกว่ามีอาการไม่สบาย ปวดหัว หรือเข้าขั้นอาการหนัก ให้รีบเดินทางไปพบแพทย์ทันที

ต้องบอกก่อนเลยว่า บริษัทแอปเปิลนั้น เป็นบริษัทที่ผลิตโทรศัพท์ที่ใช้งานได้อย่างคุ้มค่ากับราคา และมีประสิทธิภาพที่มากกว่าค่ายโทรศัพท์มือถือรุ่นอื่น ๆ ในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ประสิทฺธิภาพของการประมวณผล กล้อง และที่ขาดไม่ได้คือเรื่องราวในอดีต หรือสตอรี่ของ แอปเปิล จนมาถึงวันที่รุ่นใหม่อย่าง IPHON 13 เปิดตัว

ข้อดี และข้อเสียที่เป็นเหตุผลที่ไม่ควรซื้อ IPHON 13

หลังจากที่ซีรี่ย์ใหม่ IPHON และ PRO ได้เปิดตัวให้จองในไทย ในวันที่ 30 กันยายน 64 ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่า เวอร์ชันนี้ใช้งานดีหรือเปล่า และมันจะเหมาะกับเราหรือไม่ วันนี้ผู้เขียนจะพาไปหาเหตุผลที่ยังไม่ควรซื้อ IPHON 13 สำหรับใครที่มีเหตุแบบผู้เขียนในตอนนี้แล้วแต่ผู้อ่านจะพิจารณา

1.  คนที่ชอบดีไซน์ใหม่ ๆ

สำหรับ IPHON ซีรี่ย์นี้นั้นจะมาด้วยดีไซน์ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปนิดเดียว จนเรียกได้ว่าไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนนั้นจะเป็นการจัดวางกล้องของรุ่นนี้ที่เป็นลักษณะแนวทแยง และในส่วนของ 13 PRO นั้นเรียกได้ว่าไม่ต่างกันเลยกับภายนอกของ 12 PRO แค่ในส่วนของตัวกล้อง 13 PRO นั้นจะใหญ่กว่านิดเดียวเพียงเท่านั้นจริง ๆ สำหรับใครที่อยากได้ดีไซน์ใหม่ ๆ อาจจะต้องข้าม หรือไม่ควรซื้อ IPHON 13 ในตอนนี้ เพื่อไปรอลุ้นในรุ่นต่อไปที่อาจจะเปลี่ยนแปลงดีไซน์

2.  คนที่ต้องการความแรงแบบก้าวกระโดด

ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ชิปของซีรี่ย์นี้นั้นมีการอัปเดตชิปมาเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ซึ่งต่างจาก IPHON 11 มา IPHON 12 ซึ่งมีการพัฒนาชิปมาแรงเป็นอย่างมากเป็นเท่าตัว โดยโทรศัพท์รุ่นใหม่นี้ได้มีการเปรียบเทียบว่าซีรี่ย์นี้เหนือกว่า Android ในบางด้าน ในส่วนของชิป CPU มีการพัฒนามาจากตัวชิป A14 ของIPHON 12 และนอกจากนี้ชิปเพิ่มความแรงมาไม่ถึงเท่าตัว ซึ่งหมายถึงว่าการทำงานของ ซีรี่ย์ A15 นั้น เพิ่มมาไม่เท่าไหร่จาก IPHON 12 ซึ่งถือได้ว่าเป็น IPHON พัฒนาได้ไม่ดีเท่า เมื่อเทียบกับตัวเก่าของ IPHON เพราะฉะนั้นใครที่ต้องการความแรงในการเล่นเกมแบบก้าวกระโดด ไอโฟน 13 อาจไม่เหมาะสำหรับคุณ

3.  การปลดล็อค และความปลอดภัย

ก่อนหน้าที่ ไอโฟน 13 จะวางขายนั้นได้มีข่าวมาว่าตัวของ IPHON ปี 2021 นั้นจะมีการสเเกนใบหน้ามาผสมผสานกับลายนิ้วมือใต้จอ หรือการสแกนผ่านหน้ากากอนามัย พอเปิดตัววางขายนั้นก็ไม่ได้มีการอัปเดตการต่าง ๆ ตามที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ และตรงนี้ทำให้ชาว IPHON ทั้งหลายที่รอก่อนเปลี่ยนแปลงของเวอร์ชั่นนี้ ต้องผิดหวังในการรอคอยเป็นอย่างมากที่ไม่มีการอัปเดตการปลดล็อคความปลอดภัยที่ตอบสนองกับการใช้งานของผู้ใช้ที่มีความต้องการมากกว่าเดิมจนเป็นเหตุผลที่ไม่ควรซื้อไอโฟนรุ่นใหม่นี้

4.  คนที่ไม่ได้เน้นในการถ่ายรูปภาพ หรือ VDO

คนที่ซื้อไอโฟนเวอร์ชั่นนี้มา จะเน้นไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการถ่ายรูป หรืออัด VDO แบบโปร หรือการถ่าย VDO แบบหน้าชัดหลังเบลอ ก็อาจจะไม่ต้องรีบซื้อมาก็ได้ครับ เพราะในซีรี่ย์นี้เน้นไปที่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นว่าถ้าใครที่ไม่ได้เน้นในเรื่องการถ่ายภาพไม่ควรซื้อ ไอโฟน 13 เพราะอาจจะใช้งานได้ไม่คุ้ม

5.  IPHON 13 PRO และ IPHON 12 PRO มีความแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่

ใครที่ยังใช้ IPHON 12 PRO ยังสามารถใช้ได้อยู่ เพราะว่าประสิทธิภาพ และการทำงานของ IPHON 12 PRO นั้นมีความใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นล่าสุดเป็นอย่างมากเลย ยังไม่ต้องกลัวว่า IPHON 12 PRO จะตกรุ่นแต่อย่างใด ซึ่งทำให้คนที่ใช้ IPHON 12 PRO นั้นยังไม่ควรชื้อในตอนนี้นะครับ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ประเทศไทยได้มีการปลดล็อค ใบกระท่อม ออกจากสารเสพติดประเภทที่ 5 กันไปแล้ว จึงทำให้ใครหลายคนที่เป็นสายนี้นั้นต่างดีใจกันมาก ถึงขนาดที่มีการวางจำหน่ายกันตามท้องตลาดให้เห็นกันทั่วไป ซึ่งใบไม้ชนิดนี้นั้นก็มีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน 

ใบกระท่อมที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการต้มดี เคี้ยวอร่อย

วันนี้เราจะมาจัดอันดับสายพันธุ์ ใบกระท่อม ที่ต้มดีเคี้ยวอร่อยกัน ซึ่งเราจะมาแนะนำสายพันธุ์ และการเรียกของแต่ละพื้นที่กันอีกด้วย ในไทยพบได้ 3 สายพันธุ์ด้วยกันก็คือ แตงกวาลักษณะคือ ก้านจะมีเขียว , ยักษ์ษาใหญ่ ลักษณะคือรูปใบใหญ่ , ก้านแดง ลักษณะเหมือนกับชื่อสายพันธุ์ ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็เรียกแตกต่างกันไป เช่น ทางภาคเหนือจะเรียกว่าอีด่าง อีแดง กระอ่วม , ภาคใต้จะเรียกว่าท่อม หรือท่ม ส่วน 5 อันดับยอดนิยมที่เราได้นำมาจัดอันดับ มีดังนี้

1.  สายพันธุ์ไทย ใบก้านแดง อันโด่งดัง

ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่นิยมในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ในเรื่องต้มดีเคี้ยวอร่อยอย่าง ใบกระท่อม สายพันธุ์ก้านแดง ซึ่งมีพื้นใบสีเขียว ลักษณะก้านใบเป็นสีแดงตามชื่อ แดงมากแดงน้อยแตกต่างกันเล็กน้อย ใบมีขนาดเล็กไม่ใหญ่มาก ปลายใบจะแหลมคล้ายใบโพธิ์ ในส่วนของรสชาตินั้นจะขมเข้มกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ มีรสที่แรงหากกิน หรือเคี้ยวจะมีฤทธิ์ที่แรงมากกว่าเดิม มากกว่าสายพันธุ์อื่น และยังยาวนานมากกว่า 30 นาทีอีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้มีอาการปวดหัวที่หนัก และรุนแรง จึงนิยมนำมาต้มกินกันมากกว่า 

2.  สายพันธุ์ไทยอีกสายพันธุ์หนึ่ง ใบกระท่อมแตงกวา

ลักษณะของกระท่อมแตงกวานั้นจะมีก้าน และใบสีเขียว แต่เส้นใบนั้นจะมีสีเขียวที่อ่อนกว่าแผ่นใบ ในส่วนของใบนั้นใหญ่ และเรียวยาว ผิวหยาบใบนิ่ม ปลายใบแหลมเหมือนใบโพธิ์ ซึ่งสายพันธุ์ใบท่อมแตงกวาภาคใต้นั้นจะมีก้านใบที่เรียวกว่า บางยาวจนคล้ายใบมะม่วง ตัวใบจะหยาบ และนิ่มหน่อย ๆ สายพันธุ์แตงกวาภาคกลาง หรือในบางพื้นที่จะเรียกว่ากาละเด่น ลักษณะใบจะป้อมกว่า ใบจะมัน ๆ แข็ง ๆ กว่า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หาได้ง่ายในประเทศไทย จึงเป็นสายพันธุ์ใบท่อมที่ต้มดีเคี้ยวอร่อยอีกหนึ่งสายพันธุ์

3.  สายพันธุ์เหรียญทอง สายพันธุ์แท้ของภาคกลาง

อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีแหล่งกำเนิดมาจากภาคกลาง และเป็นที่นิยมสูงมาก สำหรับใครที่ชอบเคี้ยวใบนั้นสายพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดีต่อการเคี้ยวสดเป็นอย่างมาก หรือใครที่ชอบต้มก็ทำได้เช่นกัน ในส่วนของลักษณะใบนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่ปานกลาง ใบบางอ้วน ปลายแหลม ก้านของใบนั้นจะออกเป็นสีเหลืองปนเขียว ใบสายพันธุ์จะกรอบกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ และมีกลิ่นที่หอมในตอนต้ม แต่สีของน้ำกระท่อมสายพันธุ์เหรียญทองนี้จะมีสีเหมือนน้ำอ้อย

4.  สายพันธุ์แมงดา หรือสายพันธุ์หางกั้ง

สายพันธุ์กระท่อมนี้เป็นสายพันธุ์ที่สามารถเก็บรักษาได้นานที่สุด และยังเป็นสายพันธุ์ของประเทศไทยทางภาคใต้ และภาคกลางอีกด้วย สำหรับทางภาคกลางจะเรียกว่าแมงดา ส่วนทางภาคใต้จะเรียกว่าหางกั้ง ซึ่งมีรสชาติที่ฝาดขมน้อยกำลังดี และยังมีกลิ่นของใบเวลาต้ม จึงสามารถนำมาต้มก็ดีเคี้ยวก็อร่อย ในส่วนของลักษณะใบนั้นจะหนา และมีหางคล้ายหางกั้ง มีตั้งแต่ 3 หางจนถึง 9 หาง แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้นกระท่อม ส่วนตัวก้านนั้นจะมีทั้งสีเขียว และสีแดง แต่ก้านสีแดงนั้นหาได้ยากกว่าก้านสีเขียว

5.  สายพันธุ์กลาย จำนวนก้านน้อยกว่า 12

หลายคนมักบอกว่ากระท่อมกลายนั้นเป็นกระทุ่ม แต่ความจริงแล้วผิดนะครับ ถึงจะมีความคล้ายกันมาก แต่มีฤทธิ์แตกต่างกัน รสชาติของกระท่อมกลายนั้นจะมีรสชาติที่ฝาด ซึ่งไม่ค่อยเหมือนกันกับสายพันธุ์อื่นที่มีรสชาติที่ขม และยางมันน้อยกว่า ถ้าอยากจะแยกให้ออกว่ากระท่อมกลายนั้นจริงหรือเปล่า ต้องดูที่จำนวนก้านใบ ถ้ามีจำนวนไม่ถึง 12 คือสายพันธุ์กลาย

ปัจจุบัน โทรศัพท์ มือถือ ของแต่ละค่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถใช้ทำงานแทนคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุผลว่าพกพาง่าย สะดวก แถมยังสามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ จนได้ชื่อว่าเป็นสิ่งของจำเป็น หรืออาจจะบอกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ก็ว่าได้ ดังนั้นในแต่ละวันหลายคนต้องเพ่งที่หน้าจอวันละหลายชั่วโมง เพื่อทำภารกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซื้อ-ขาย หรือทำงานด้านเอกสาร 

โทรศัพท์ เครื่องเล็กแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว

โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน ที่อยู่ในมือของเรา ถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับชีวิตประจำวันของคุณได้มากขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าตัวช่วยที่อยู่ในมือของคุณ สามารถทำร้ายคุณผ่อนส่งต่อเนื่องในทุก ๆ วัน ซึ่งบางคนกว่ารู้ตัวว่าได้เจอความร้ายกาจของ โทรศัพท์มือถือเข้าไป ก็เกือบจะสายไปแล้วด้วยซ้ำ 

อันตรายจาก โทรศัพท์ มีอะไรบ้าง

สำหรับอันตรายจาก โทรศัพท์ มือถือ มีหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการจ้องหน้าจอนานติดต่อกันหลายชั่วโมง และอาจจะมีเชื้อโรคที่แฝงหรือเกาะอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของเครื่อง ส่งผลให้ป่วยได้ง่าย ยิ่งบางคนชอบพกเข้าห้องน้ำด้วย ยิ่งเพิ่มความอันตรายให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว 

1.  ปัญหาต่อสายตา

ในปัจจุบันหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและสายตา มักออกมาย้ำเตือนเสมอว่า การจ้องหน้าจอมือถือนาน ๆ จะส่งผลเสียต่อสายตาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเจออาการดังกล่าวมากกว่าผู้ใหญ่ บางรายรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด เพื่อเปลี่ยนกระจกตา หรือหากรักษาไม่ทันเวลา ถึงขั้นตาบอดตลอดชีวิต เนื่องจากหน้าจอมือถือจะมีแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นคลื่นความถี่แสงพลังงานสูง ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดตา ตาพร่า ตาแห้ง จนน้ำตาไหลตลอดเวลา ซึ่งหากใช้เวลาจ้องนานติดต่อกันหลายชั่วโมง จะทำให้สุดท้ายเกิดอาการจอประสาตาตาย ซึ่งหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือไม่ทันเวลา โอกาสจะตาบอดตลอดชีวิตมีสูงมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยทางสายตา เพราะการใช้โทรศัพท์นานสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

2.  อาการนิ้วล็อค 

อีกหนึ่งปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ เพราะมือถือยังคงใช้กันทุกวันและต่อเนื่อง แต่การใช้มือถือนาน ๆ ส่งผลให้มีอาการปวดตามนิ้วและข้อต่าง ๆ บริเวณมือ และบางคนมีอาการชาที่นิ้ว และมือ ซึ่งเกิดจากการเกร็งในการพิมพ์ เพื่อตอบแชท หรืออาจจะเกิดจากการทำงานผ่านมือถือเป็นเวลานาน โดยบางคนรุนแรงถึงเส้นเอ็น โดยหากมีอาการรุนแรงอย่างหนัก อาจจะต้องถึงขั้นผ่าตัด เพื่อรักษาอาการที่เกิดขึ้น

3.  มีอาการปวดเมื่อยที่ คอ บ่า ไหล่ ต่อเนื่อง

เนื่องจากการใช้มือถือจะต้องก้มอย่างต่อเนื่อง หรือถึงแม้บางคนจะเปลี่ยนอิริยาบทต่าง ๆ แต่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น แต่สุดท้าย คอ บ่า ไหล่ ยังได้รับผลกระทบจากการเกร็ง จากการพิมพ์ตอบแชทต่าง ๆ ในมือถือ หรืออาจจะก้มดูหน้าจอนาน นอกจากนั้นยังส่งผลให้เกิดอาการหลังค่อม จนทำให้เสียบุคลิกไปที่สุด ในกรณีที่รุนแรงยังทำให้เกิดอาการปวดศีรษะบ่อย เนื่องจากเมื่อเกิดอาการเกร็งต่อเนื่อง จะส่งผลให้ต่อกล้ามเนื้อบิด จนการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงศีรษะมีปัญหา 

4.  โรคทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย 

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบมาก แต่ยังถูกจัดว่าเป็นโรคที่มาจากการใช้มือถือนานเกินไป ยิ่งบางคนที่ดูซีรีย์ หรือฟังเพลง รวมถึงทำงานนาน ๆ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่า อยู่ในอาการ “เพลิน” สิ่งที่จะตามมาคือทานอาหารไม่เป็นเวลา อีกทั้งหลายคนยังพยายามกลั้นการเข้าห้องน้้ำทั้งหนักและเบา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการการทำงานของทางเดินอาหารและขับถ่าย 

5.  มีโอกาสป่วยกระเสาะกระแสะได้ง่าย 

อีกหนึ่งเหตุผลว่าห้ามนำมือถือเข้าห้องน้ำ หรือไปในสถานที่มีแต่เชื้อโรค เพราะมือถือของเราคือแหล่งรวมเชื้อโรคได้ง่าย โดยในแต่ละวันเราไม่รู้เลยว่าไปหยิบจับอะไรมาก่อนบ้าง ดังนั้นเราอาจจะได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเชื้อโรคบางตัวทำให้เรามีโอกาสป่วยเป็นหวัดหรือโรคทางเดินอาหาร รวมถึงโรคต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวสูงมาก

การใช้ โทรศัพท์ มือถือ นอกจากจะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จนทำให้การใช้ชีวิตประจำของแต่ละคนง่ายมากขึ้น แต่อย่าลืมว่ามือถือเครื่องเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือของคุณกำลังทำร้ายตัวคุณเองอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากใช้ไม่ระวังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ซึ่งก็คือ 5 โรคที่คุณหมอพยายามออกมาเตือนนภายหลังสูงมาก 

ถ้าพูดถึง สายมู สำหรับคนไทยแล้วเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนไทยมีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ของเครื่องรางของขลัง ไสยศาสตร์ เรื่องลี้ลับ การบูชา การเสริมดวงชะตา การดูฤกษ์ยาม รวมถึงการทำนายในพระราชพิธีสำคัญ ๆ และยังนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย 

การเป็นสายมูที่พึ่งทางใจคนไทย และอีกหลายคน

ทั้งนี้การนำพาตัวเองเข้าสู่ สายมู หรือ ความเชื่อและความศรัทธา ถือเป็นที่พึ่งในการสร้างแรง และกำลังใจ เพื่อเยียวยาชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าการเสริมดวงด้านต่าง ๆ การขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบูชาสิ่งมงคล การเลือกใช้เบอร์มงคล ทั้งนี้การพึ่งพาความเชื่อเหล่านี้นำไปสู่ ธุรกิจสายมู ที่ให้เม็ดเงินมหาศาลเลยทีเดียว หากแต่ความเชื่อ และความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งของมงคลต่าง ๆ นั้นต้องมีความพอดี ส่วนรูปแบบของสายมูยอดนิยมในปัจจุบันมีดังนี้ 

1.  พยากรณ์ โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี 

เป็นสิ่งที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่การดูดวงประเทศ ดูดวงของคนทั่วไปในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงคำทำนายของพระโคในวันพืชมงคลที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี 

2.  พระเครื่องวัตถุมงคล 

การบูชาเครื่องราง เช่น ตะกรุด , ต่อเงินต่อทอง , การขอพรไอ้ไข่ที่วัดเจดีย์ไอ้ไข่ หรือการทำพิธีตามความเชื่อช่วงเทศกาลต่าง ๆ การสักยันต์ , ปี่เซียะ วัตถุมงคลเสริมดวงการเงิน , เต่ามังกร เป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพดี อายุยืน ความสำเร็จอย่างมั่นคง , หินสีนำโชค กับความเชื่อที่ว่าหินแต่ละสีจะมีความหมาย และการเสริมดวงที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไคยาไนท์ ช่วยด้านสติปัญญา , มูนสโตน ช่วยด้านความรัก

3.  สีมงคล 

ซึ่งสีมงคลนี้สามารถนำมาต่อยอด และสร้างธุรกิจได้มากมาย เช่น สีเสื้อมงคลประจำวันเกิด กระเป๋าเงินเรียกทรัพย์ตามสีวันเกิด และสีลิปสติกเสริมดวง

4.  ตัวเลขมงคล 

ตัวเลขนำโชค จะนำสิ่งดีๆมาให้ชีวิต เช่น บ้านเลขที่ ทะเบียนรถ ที่นิยมสุด ๆ ก็คงไม่พ้น เบอร์มือถือ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิต และการติดต่องาน

5.  เรื่องเหนือธรรมชาติ

สิ่งลี้ลับจากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตามแต่ละสถานที่ และความเชื่อของแต่ละบุคคล และการนำเสนอเรื่องราวลี้ลับต่าง ๆ ของรายการทีวี ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นจำนวนมากอีกด้วย

ความเชื่อ 5 อันดับ สายมู ที่มีผลต่อคนไทย

สายมู ของคนไทยมีหลากหลายมาก และการที่คนไทยนิยมหันหน้าพึ่งพาความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และโชคลาง เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจในช่วงที่รู้สึกหดหู่ ไม่สบายใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง เพื่อทำให้เกิดกำลังใจ พลังแรงกายในการทำสิ่งต่าง ๆ จากความเชื่อที่ว่ามีสิ่งที่คุ้มครองเราอยู่นั่นเอง และต้องหาวิธีจัดการให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ “มูเตลู” จึงเป็นคำฮิตสำหรับคนไทย ซึ่งใช้เวลาที่พูดถึงความเชื่อในเรื่องการเสริมดวง เครื่องรางของขลัง เป็นต้น ทั้งนี้หากจะนำตัวเองเดินเข้าสู่เส้นทางสายมูเตลู เพื่อความสบายใจ และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ก็อย่าลืมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเปิดรับสิ่งดี ๆ ที่ได้จากการมูเตลูด้วยก็จะดี รวมไปถึงการคิดดี พูดดี และทำดี เท่านี้ก็สามารถทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี และมีความสุขขึ้นแล้ว